ผมมีคำถามจะสอบถามที่เอครับ ผมเริ่มลงทุนเพราะได้ดู YouTube ของพี่เอ
ตอนนี้อายุ 29 ทำงานสนามกอล์ฟไม่มีโบนัส
เงินทั้งหมดก็ได้จัด Port การลงทุนเหมือนในรูปครับ

Asset Allocation

และผม DCA เพิ่มเดือนละ 12,000 บาทโดยแบ่งเป็นสัดส่วนดังนี้

– กองทุนรวมตราสารหนี้ ธนทวี 4,000 บาท
– กองทุนหุ้น Bank/Telecom Sector ธนคม 4,000 บาท
– กองทุนรวมทองคำ 4,000 บาท

เป้าหมายผมระยะยาว 10-15 ปี เพื่อเอาเงินไปเปิดธุรกิจของตัวเองถ้ามีโอกาส
ถ้าไม่มีก็ลงทุนแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยคาดหวังผลตอบแทนตามรูปที่แนบมา

เป้าหมายการลงทุน

คำถามคือ

  1. ในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีการจัด Port แบบนี้ถูกต้องไหมครับ
    (เวลาที่เห็นกองทุนหุ้นติบลบตลอด แต่ก็นึกถึงคำพูดพี่เอคือยิ่งซื้อเข้าไปอีก
    เพราะหน่วยถูกจะได้หน่วยเยอะ แต่ก็กลัวๆ นิดๆ)
  2. ที่จัด Port แบบนี้ก็เพราะว่าคิดว่ายอมรับความเสี่ยงได้พอสมควร
    เงินเกือบสามแสนคิดว่าคงยอมรับความเสี่ยงได้ประมานติดลบไม่เกิน 15-20%
    ไม่ทราบว่าที่เอมีคำแนะนำ ในช่วง Short Term – Long Term อย่างไรบ้างครับ

คำตอบ

ขอตอบเป็นลำดับดังนี้นะครับ

1. Strategic Asset Allocation

ในการจัดพอร์ตอิงเป้าหมายนั้น สัดส่วนสินทรัพย์ระยะยาว (Strategic Asset Allocation)
ต้องสามารถให้ผลตอบแทนได้ ในระดับที่พอจะบรรลุเป้าหมายก่อน

ซึ่งจากตารางวางแผนที่ให้มา มีการคาดหวังผลตอบแทนค่อนข้างสูงคือ 12.5% ต่อปี
การจะได้ผลตอบแทนขนาดนี้ สัดส่วนสินทรัพย์จะต้องเป็นหุ้นค่อนข้างมาก หรือทั้งหมด
พอร์ตที่จัดอยู่ ณ ปัจจุบัน จึงไม่น่าจะตอบโจทย์ครับ เพราะมีหุ้นอยู่เพียง 60% ของพอร์ต

(จริงๆ B-FLEX เป็นกองผสม ซึ่งก็มีหุ้นผสมอยู่บ้าง ปัจจุบันถือหุ้นประมาณ 10%
แต่มันไม่แน่ไม่นอนว่าเมื่อไรทางผู้จัดการกองทุนจะเพิ่มหรือลดหุ้น)

2. Tactical Asset Allocation

เมื่อได้สัดส่วนสินทรัพย์ระยะยาว ซึ่งสร้างขึ้นโดยอิงจากเป้าหมายแล้ว
ขั้นต่อมาค่อยมาดูภาวะตลาดและภาวะเศรษฐกิจประกอบ
ว่าเราจะยังคงสัดส่วนสินทรัพย์ไว้ตามเดิม หรือจะปรับเพิ่ม/ลด อะไรหรือไม่
เรียกว่า Tactical Asset Allocation

ซึ่งที่น้องถามมาว่า

“ในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีการจัด Port แบบนี้ถูกต้องไหมครับ
(เวลาที่เห็นกองทุนหุ้นติบลบตลอด แต่ก็นึกถึงคำพูดพี่เอคือยิ่งซื้อเข้าไปอีก
เพราะหน่วยถูกจะได้หน่วยเยอะ แต่ก็กลัวๆ นิดๆ)”

พี่ขอไม่ให้ความเห็นเรื่องเศรษฐกิจแล้วกันนะครับ
มีกูรูผู้เชี่ยวชาญมากมายที่ให้ความเห็นทำนองนี้อยู่
ขอให้ลองศึกษา และพิจารณาเองประกอบดู

ถ้าศึกษาแล้วน้องเชื่อว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ก็ต้องดูว่าจะกระทบอะไร
ถ้าสังหรณ์ว่าจะกระทบหุ้น ก็ควรจะลดสัดส่วนหุ้นลง (Underweight)
เพื่อเลี่ยงความเสียหาย (ลดความเสี่ยง)

อย่างพอร์ตปัจจุบันที่น้องจัดอยู่นี้ ถ้าเกิดวิกฤติหนักๆ เหมือนปี 2008 อีก
ก็น่าจะลบได้ประมาณ 20% บวกบวก ซึ่งก็อาจจะสูงเกินกว่าที่น้องรับไหวไปนิดหน่อยครับ
แต่ถ้าวิกฤติมันไม่หนักขนาดนั้น ก็น่าจะอยู่ในขอบเขตที่รับไหว

และพี่เสริมนิดนึงที่ว่าหุ้นตกและยิ่งซื้อ เราต้องซื้อด้วยความเข้าใจนะครับ ว่าซื้อไปทำไม
ไม่ใช่ซื้อไปเรื่อยๆ แล้วมันจะขึ้นนะครับ เพราะบางทีมันก็ตกยาวนานมาก
อย่างน้อยๆ ควรมีระยะเวลาเผื่อๆ ซัก 5-7 ปีขึ้นไป สำหรับการลงทุนหุ้นด้วยวิธี “สะสม” แบบนี้นะครับ


สรุปแล้ว ต้องปรับดูครับ ระหว่าง

  1. ปรับความคาดหวังเรื่องผลตอบแทนลงจาก 12.5% โดยดำรงสัดส่วนพอร์ตปัจจุบันไว้
  2. ยืนยันความคาดหวังผลตอบแทนระดับเดิมไว้ แล้วปรับสัดส่วนสินทรัพย์ระยะยาว (SAA)
    ให้พอจะสร้างผลตอบแทนระดับนั้นได้ ซึ่งอาจจะต้องเป็นหุ้นเกือบทั้งหมดของพอร์ต
  3. ส่วนเงินที่ทยอยลงทุนเข้ามารายเดือนแบบ DCA นั้น
    ก็จะทำให้สัดส่วนสินทรัพย์ทั้งพอร์ตมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
    เราก็ต้องปรับน้ำหนักในกองทุนต่างๆ ให้ได้หน้าตาของพอร์ต ตามที่เราออกแบบไว้ครับ

และขอฝาก Series กลยุทธ์การลงทุน ไว้ให้ศึกษาเพิ่มเติมนะครับ (ถ้าดูแล้ว อาจต้องดูซ้ำ)
http://www.a-academy.net/s09-investment-strategy/

ทั้ง 30 ตอนใน Series นี้ จะช่วยฉายภาพให้เห็นกลยุทธ์การลงทุน “เป็นพอร์ต” ตั้งแต่ต้นจนจบ
ตั้งแต่แนวคิด กระบวนการออกแบบพอร์ตระยะยาว (SAA) การปรับพอร์ตระยะสั้น (TAA)
วิธีการเข้าซื้อทั้งแบบเงินก้อน ทั้งแบบเงินรายเดือน (DCA) วิธีการขาย ไปจนถึงวิธีการติดตามพอร์ตครับ

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here