สำหรับนักลงทุนหุ้นทุกคน

“กำไรจากการลงทุน” เป็นสิ่งที่เราหวังเป็นที่สุด

เราจึงพยายามแสวงหาเทคนิคและวิธีการต่างๆ
ที่จะคาดการณ์ให้ได้ว่า “ราคา” ของหุ้นตัวที่เราลงทุนนั้น
จะเปลี่ยนแปลงไปในทางไหน

ถ้ามันมีแนวโน้มจะขึ้น เราจะได้ซื้อลงทุนไว้
ถ้ามันมีแนวโน้มจะลดลง เราจะได้พิจารณาขายหุ้นนั้นออกไป

เทคนิควิธีการก็มีหลายแขนง แต่ถ้าแบ่งตามแนวทางหลักๆ ก็มีเพียง 2 แบบคือ

1. วิเคราะห์จากตัวธุรกิจเป็นหลัก
เมื่อก่อนเรียกกันว่าเป็นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
เดี๋ยวนี้คนไทยแทบจะเรียกกันสั้นๆ ว่า VI หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

2. วิเคราะห์จากข้อมูลราคา ปริมาณการซื้อขาย และข้อมูลอื่นๆ ในตลาด
เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ซึ่งก็มีการพัฒนา
ต่อไปในเรื่องของความเร็วที่เพิ่มขึ้น อาทิ การใช้คอมพิวเตอร์มาช่วย
ก็มีชื่อเรียกขึ้นมาเป็น System Trade เป็น Algorithmic Trading เป็น Robot


ผมเองลงทุนนั้น ใช้แนวทางที่ 1 คือการ “วิเคราะห์จากตัวธุรกิจ” มาตลอด
และก็ใช้เป็นอยู่เพียงวิธีเดียว จึงอยากจะมาเน้นย้ำครับว่า
คนที่ลงทุนแนวนี้… เรามีความเชื่อหลักเป็นอย่างไร ?

เอ่อ… พูดว่า “เรา” ก็อาจจะเว่อร์ไป ขอเปลี่ยนคำพูด
เอาเป็นเฉพาะความเชื่อหลักๆ ของ “ผม” ก็แล้วกันนะครับ
สำหรับการจะลงทุนให้ประสบความสำเร็จนั้น ผมเชื่อใน 2 ข้อนี้ครับ

1. ลงทุนในกิจการที่ดี ที่จะมีกำไรเติบโตในระยะยาวเท่านั้น

กำไรที่ว่านี้ ในฐานะผู้ถือหุ้น ผมสนใจ “กำไรต่อหุ้น (EPS)” เป็นหลักนะครับ
ที่ต้องสนใจกำไรต่อหุ้น เพราะหากเราดูแต่กำไรของบริษัท
เราอาจจะเจอเคสว่ากำไรบริษัทโตต่อเนื่อง แต่ระหว่างทางอาจมีการเพิ่มทุน
หรือออกหุ้นเพิ่มอยู่ตลอด ทำให้ส่วนแบ่งที่เราได้ มันน้อยลงไปด้วย

ผมทำ Infographic มาให้ดูกันครับว่า

“ทำไมกำไรต่อหุ้นจึงมีความสำคัญมาก”

“กำไรต่อหุ้น” เป็นปัจจัยหลักที่กำหนด “ราคาหุ้น” ?

ในกราฟจะมีหุ้นอยู่ 3 บริษัทคือ ADVANC, KBANK และ CSL
สาเหตุที่เลือก 3 บริษัทนี้ เพราะเป็นหุ้นที่ผมพอจะหาข้อมูลย้อนหลัง
ซึ่งเป็นข้อมูลสาธารณะระยะเวลายาวๆ ได้

นอกจากหุ้น 3 บริษัทนั้น ก็จะยังมีการแสดงข้อมูลของ SET Index
ซึ่งเป็นผลรวมของหุ้นทั้งตลาดแสดงให้ดูประกอบไปด้วย

ผมอยากเน้นให้ทุกท่านเห็นความสัมพันธ์ของ “กำไรต่อหุ้น”
ที่แสดงด้วยเส้นประสีน้ำเงิน และ “ราคาหุ้น” ที่แสดงด้วยเส้นทึบสีแดง

จะเห็นว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่าง “ชัดเจน” นั้น
คือเส้นทั้งสองเส้น มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ใกล้เคียงกันอย่างมาก

คำถามสำคัญคือ

ราคาเปลี่ยนตามกำไร ? หรือ กำไรเปลี่ยนตามราคา ?


ตอบในแง่ของข้อมูลก็ต้องบอกว่า จริงๆ แล้วราคาเกิดขึ้นก่อนครับ
เพราะราคาที่ผมนำมาพล๊อตลงในกราฟ เป็นราคา ณ สิ้นปี ของแต่ละปี

ส่วนกำไรต่อหุ้นที่นำมาพล๊อตนั้น กว่าที่จะรู้ก็ช่วงปลายไตรมาส 1 ของปีถัดไป
อาจจะพอ “อนุมาน” หรือ เดาแบบพอจะมีหลักการได้ว่า

“ราคาหุ้นสะท้อนความคาดหวังของกำไรในอนาคต”

ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้ง “คาดผิด” และ “คาดถูก”

ซึ่งผมมักจะพูดให้เพื่อนๆ ฟังอยู่เสมอว่า

หุ้นที่มีกำไร (ต่อหุ้น) ที่ดี ในที่สุดจะไม่ถูกทอดทิ้ง!
แม้ราคาจะยังไม่ขึ้น แต่ถ้ากำไรเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ราคาก็จะขึ้นไปตามจนได้

ในทางกลับกัน

หุ้นที่ไม่ดี คือมีกำไร (ต่อหุ้น) ที่มีแนวโน้มลดลงชัดเจน แม้ราคาปัจจุบันจะสูง
สุดท้ายราคาก็ต้องปรับลดลงมาตามกำไรในที่สุด

จบความเชื่อแรกครับ


2. กิจการที่ดีอาจไม่ใช่การลงทุนที่ดี เราต้องซื้อได้ในราคาที่ยุติธรรมด้วย

ผม “อิน” กับบริษัทหลายบริษัทครับ บางทีก็อินที่เจ้าของ อินที่ผู้บริหาร อินที่สินค้าและบริการ
แต่มันลงทุนไม่ได้จริงๆ เพราะติดว่าราคาหุ้นปัจจุบันมันอยู่ในจุดที่ “แพงแล้ว”
ทุกวันนี้ก็ยังมี Bias เวลาเจอร้าน หรือบริการของเค้าก็เข้าไปอุดหนุนอยู่เสมอ

เรื่องความถูก-แพง สำคัญนะครับ
คงยังไม่สามารถคุยเรื่องนี้ ในโพสนี้ได้ เพราะคงจะยาวมาก
แม้เทคนิคที่ผมใช้จะกิ๊กก๊อก โง่ๆ ง่ายๆ ก็ตาม
ไว้รอโอกาสหน้า หรือรอวิดีโอสอนจะดีกว่าครับ ^^


จริงๆ แล้ววัตถุประสงค์หลักของโพสนี้ ต้องการเพียงให้เห็นว่า

ลงทุนหุ้นนั้นไม่ใช่เรื่องซับซ้อน โดยเฉพาะการลงทุนระยะยาวแบบที่ผมทำ

หัวใจหลักอยู่ที่ “กำไรต่อหุ้น” เท่านั้นว่ามันจะเพิ่มขึ้นหรือไม่

ซึ่งหน้าที่ของเรา คนที่จะไปเลือกหุ้น ก็ควรจะสนใจ “ตัวธุรกิจจริง” ให้มากที่สุด
ราคาที่เคลื่อนไหวทุกๆ วัน ข่าวสารต่างๆ ทางเศรษฐกิจมากมายที่มีให้เสพ
บางทีมันทำให้เรา “เขว” ออกไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น

บางทีเรารู้จัก Fund Flow ต่างชาติ, มาตรการ QE, เพดานหนี้สหรัฐฯ,
สงครามในตะวันออกกลาง ฯลฯ มากกว่าเรารู้จักบริษัทที่ลงทุนเสียอีก


แถมอีกนิด สำหรับท่านที่ยังไง ก็จะไม่มาเลือกหุ้นเอง
ยังสบายใจที่จะลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” โดยเฉพาะกองทุนที่เลียนแบบดัชนี
หรือ Index Fund ที่ไม่ใช้ฝีมือการบริหารมากมายอะไร แค่เลียนแบบตลาดหุ้น

ผมอยากถามกลับครับว่าเวลามีใครบอกท่านว่า

ลงทุนหุ้นระยะยาวโอกาสเจ๊งน้อย หรือ ลงทุนหุ้นระยะยาวกำไรชัวร์

ท่านเชื่อหรือไม่ ? และเชื่อเพราะอะไร

ถ้าถามผม…

ผมเชื่อนะครับ ผมเชื่อว่า “หุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีในการลงทุนระยะยาว”

ซึ่งก็เชื่อเพราะหลักการเรื่อง “กำไรต่อหุ้น” จะมีผลต่อราคาหุ้นเช่นกัน

ลองสังเกตกราฟของ SET Index ใน Infographic นะครับ
SET Index เอง ก็เปลี่ยนแปลงใกล้เคียงกับกำไรต่อหุ้น (EPS) เช่นกัน
ไม่ได้แตกต่างไปจากหุ้นรายตัว เพียงแต่ว่า EPS ของ SET Index นั้น
เป็นการรวมกำไรของหุ้น “ทั้งหมด” ในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้นเอง

คำถามต่อมาก็คือ…

ท่านเชื่อหรือไม่ว่าเถ้าแก่ไทย (ทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์)
จะสามารถบริหารธุรกิจให้มีกำไรที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว
?

เพราะถ้ามันเพิ่มขึ้น SET Index ก็คงปรับขึ้นตาม
และกองทุนเลียนแบบดัชนีที่ท่านลงทุน ก็คงจะปรับขึ้นตามด้วยเช่นกันครับ

ผมคงไม่ตอบคำถามนี้ว่าผมเชื่อหรือไม่…

ลองเดาๆ กันดูนะครับ ^^

2 COMMENTS

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here