FinancePersonal Finance งบกระแสเงินสดส่วนบุคคล Apr 10, 2014 สรุปเนื้อหา งบกระแสเงินสดส่วนบุคคลคืออะไร ประโยชน์ของงบกระแสเงินสดส่วนบุคคล องค์ประกอบของงบกระแสเงินสดส่วนบุคคล ตัวอย่าง ไฟล์/เอกสารประกอบ เอกสาร Presentation ประกอบบทเรียน วันที่เผยแพร่ 3 เมษายน 2557 3 COMMENTS ขอเพิ่มเติมจากประสบการณ์นะครับ เผื่อจะได้แง่คิด ประเทศไทยมีคณะวิจัยสังคมคณะหนึ่ง ได้ทำการวิจัยถึงสาเหตุของความยากจนของชาวบ้านแห่งหนึ่ง จ.แม่ฮ่องสอน ผลการวิจัยสรุปว่า สาเหตุที่ทำให้ชาวบ้านยากจน เกิดจากคำว่า “ เครดิต “ ความหมายของคำว่า เครดิต อาจหมายถึง การไปเอาทรัพย์สินหรือสิ่งของหรือบริการของผู้อื่นมาใช้ก่อน แล้วสัญญาว่าจะชำระหนี้ให้ในภายหลัง เช่น เงินกู้สหกรณ์, เงินกู้ธนาคาร, เงินกู้อื่นๆ ทั้งในระบบและนอกระบบ, ซื้อสินค้าหรือบริการด้วยเงินผ่อน/เงินกู้ยืม/บัตรเครดิต ชาวบ้านแห่งนั้น ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม มีความอยากได้/อยากมีเช่นเดียวกับคนในสังคมเมือง พวกเขาอยากมีทั้งรถยนต์, จักรยาน, จักรยานยนต์, หม้อหุงข้าวไฟฟ้า, พัดลม, ตู้เย็น, โทรทัศน์, เสื้อผ้า, รองเท้า, เครื่องสำอางค์, เครื่องจักรกลการเกษตร ฯลฯ วันใดขายผลผลิตได้เงินก็จะนำเงินไปซื้อหาสิ่งของมาใช้สอย แต่การทำเกษตรไม่ได้มีรายได้ทุกวัน นานๆ จึงจะมีรายได้สักครั้ง พ่อค้าแม่ค้าอยากได้เงินจากชาวบ้านแต่ชาวบ้านยังไม่มีเงินจ่าย จึงเกิดการให้ซื้อสินค้าด้วยเงินผ่อนขึ้น ส่วนชาวบ้านก็คิดว่าตนน่าจะผ่อนชำระได้ โดยคาดการณ์ว่าผลผลิตที่จะเกิดจากการทำเกษตรน่าจะได้ปริมาณเท่าใด จะขายได้เงินเท่าใด จะผ่อนชำระเท่าใด อย่างไร? แต่คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต อาจจะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น ฝนตกน้อย, น้ำท่วม, ราคาพืชผลตกต่ำ, โรคและแมลงรบกวน, ผลผลิตต่ำ เป็นต้น รายได้จึงไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เมื่อไม่มีเงินจ่ายพ่อค้า จะทำอย่างไรดี ครั้นจะไม่จ่ายให้ เดี๋ยวจะกลายเป็นคนโกงคนไม่ดีของสังคมไป จะถูกนินทาให้ร้ายอับอายคนอื่นได้ บังเอิญในหมู่บ้านแห่งนั้นมีการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ประจำหมู่บ้านเกิดขึ้น เหมือนมีฟ้ามาโปรดจริงๆ ชาวบ้านจึงไปกู้เงินสหกรณ์มาชำระหนี้แก่พ่อค้า เงินที่จะชำระหนี้แก่พ่อค้ายังไม่มีเลย แต่กลับไปกู้เงินสหกรณ์ออมทรัพย์มาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแทน สมมติว่าเป็นหนี้พ่อค้า 10,000 บาท จึงขอกู้เงินสหกรณ์ออมทรัพย์อย่างต่ำ 10,000 บาทมาชำระหนี้ เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้คืนแก่สหกรณ์ออมทรัพย์ เงินกู้จากสหกรณ์ออมทรัพย์ไม่ได้มีแต่เงินต้นที่กู้ไปเท่านั้น ยังมีภาระดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายด้วย เมื่อเวลาผ่านไปจากที่เป็นหนี้เงินกู้ 10,000 บาท เมื่อรวมดอกเบี้ยด้วย เงินที่เป็นหนี้ก็จะสูงขึ้น สมมติว่าดอกเบี้ย 1,000 บาท จึงรวมเป็นหนี้ทั้งหมด 11,000 บาท เงินเป็นหนี้ 10,000 บาทยังไม่มีจ่าย แต่กลับมีหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 11,000 บาท แล้วจะทำอย่างไร ? ชาวบ้านจำเป็นต้องหาทางแก้ไขอื่นอีก มีที่ไหนบ้างที่จะมีเงินให้กู้ยืมเพื่อนำเงินมาแก้ไขปัญหาอีก แล้วชาวบ้านก็พบแหล่งเงินกู้แห่งใหม่ มีทั้งธนาคารเพื่อการเกษตรและแหล่งกู้เงินอื่นๆ ทั้งแหล่งเงินกู้ในระบบ/นอกระบบ ชาวบ้านจึงไปขอกู้ยืมเงินเพื่อนำมาชำระหนี้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์ จำนวนเงินที่กู้ใหม่ก็ต้องมีจำนวนที่มากกว่าที่เคยกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ เพราะเงินที่จะต้องชำระหนี้ให้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์ คือ เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย สมมติเงินต้น 10,000 บาท ดอกเบี้ย 1,000 บาท ชาวบ้านจึงต้องกู้ให้ได้เงินรวมกันอย่างน้อยที่สุด 11,000 บาท แต่หลายคนไม่เป็นอย่างนั้น ขอกู้ยืมจำนวนมากๆ เข้าไว้ก่อน เช่น 15,000 บาท เพื่อจะได้นำเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่นอีก ครั้นถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ให้แก่ธนาคารและแหล่งเงินกู้อื่นๆ ชาวบ้านก็ไม่มีเงินชำระหนี้อีกจะทำอย่างไรดี เผอิญได้ชำระหนี้แก่สหกรณ์หมดไปแล้ว พวกเขาจึงกลายเป็นลูกหนี้ชั้นดีของสหกรณ์ เพราะมีประวัติการชำระหนี้ดี, ไม่เบี้ยวหนี้, ชำระหนี้ตามกำหนด สหกรณ์จึงให้เครดิตเพิ่มขึ้นอีกโดยให้กู้เงินใหม่ได้ในจำนวนที่มากกว่าเดิม ชาวบ้านจึงกู้เงินใหม่ในจำนวนเงินที่มากกว่าครั้งก่อน แล้วนำเงินไปชำระหนี้แก่ธนาคารและแหล่งเงินกู้ต่าง ๆ การกู้หนี้ใหม่จำนวนเพิ่มมากขึ้น แล้วนำไปชำระหนี้เก่า หมุนวนเวียนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จำนวนเงินที่เป็นหนี้ จึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดเกินกำลังที่จะชำระหนี้ได้ ทำให้เกิดความทุกข์ เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย ในการทำวิจัยครั้งนั้น คณะผู้วิจัยได้ทำการทดลองแก้ปัญหาให้กับชาวบ้าน โดยการใช้สมุดบัญชีครัวเรือนแก้ไขปัญหา(หรือก็คือ บัญชีกระแสเงินสดนั่นแหล่ะ) โดยการให้ชาวบ้านจดบันทึกรายได้–รายจ่ายต่างๆ ของครอบครัวในแต่ละวัน เมื่อครบ 1 เดือนก็ให้สรุปรวมรายได้–รายจ่าย แยกเป็นหมวดหมู่รายการต่างๆ แล้วแจ้งให้สมาชิกในครอบครัวทุกคนทราบว่า ครอบครัวมีรายได้อย่างไร จำนวนเท่าใด และมีค่าใช้จ่ายอย่างไร จำนวนเท่าใด ให้ทุกคนได้ทราบ และทำการวิเคราะห์สถานะทางการเงินของครอบครัวว่า มีปัญหาหรือไม่? อย่างไร? มีค่าใช้จ่ายรายการใดบ้างที่สมาชิกคิดว่ามีจำนวนมากเกินความจำเป็น สมาชิกในครอบครัวร่วมกันพิจารณาวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางแก้ไข โดยการหาหนทางเพิ่มรายได้ ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกินความจำเป็น สมาชิกในครอบครัวก็จะขอร้องให้คนที่ใช้จ่ายมาก ลดการใช้จ่ายลง โดยมีเจ้าหน้าที่ของคณะวิจัย คอยเป็นพี่เลี้ยงช่วยตรวจสอบสมุดบัญชีครัวเรือน ช่วยวิเคราะห์ปัญหาและให้คำปรึกษาแนะนำแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติม ผลการทดลองแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านได้ผลดีระดับหนึ่ง รัฐบาลจึงนำบัญชีครัวเรือนดังกล่าวออกมาเผยแพร่ ให้ประชาชนทั่วไปนำไปใช้แก้ไขปัญหาความยากจน แต่ผมคิดว่าการแก้ปัญหายังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะคำว่า “เครดิต” ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหา ยังไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงและยังไม่ได้รับการแก้ไข งานวิจัยข้างต้น มีประโยชน์มาก ฉะนั้นถ้าคุณอยากให้ฐานะการเงินของคุณดีขึ้น คุณควรหลีกเลี่ยงคำว่า ”เครดิต” และควรจัดทำสมุดบันทึกทางการเงิน แต่ปัญหามีดังนี้ เมื่อรัฐนำสมุดบัญชีครัวเรือนมาเผยแพร่ หน่วยงานผมก็ทำเลย คือ ไปขอสมุดบัญชีครัวเรือนมาให้ลูกน้องทำ ผลปรากฏล้มเหลว สมุดถูกโยนทิ้ง ไม่แค่นั้นเพื่อนผมเห็นว่าดีก็จัดทำโครงการอบรมเลยโดยใช้สมุดบัญชีครัวเรือนและก็ล้มเหลวเช่นกัน ผมต้องเก็บไปคิดว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แล้วก็ถึงบางอ้อ ! คนไทยขี้เกียจครับ เพราะสมุดบัญชีครัวเรือนหรือบัญชีกระแสเงินสดนั้น ผู้ทำต้องจดจำรายรับ-รายจ่ายทุกอย่าง ซึ่งเป็นอะไรที่ยุ่งยากมาก โครงการนี้จึงไม่ค่อยได้ผล ผมค้นพบว่ายังมีอะไรที่ง่ายกว่านั้น นั่นคือ สมุดงบดุลการเงินนั่นเอง โดยทำในคอมฯ จะได้ไม่เปลืองกระดาษ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สิน/หนี้สิน ผมจะบันทึกการเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง แล้วนำมาเปรียบเทียบฐานะความมั่งคั่งเป็นระยะ ทั้งรายเดือน-รายปี และ …………. ทำง่ายครับ และพบว่าทรัพย์สินความมั่งคั่งของผมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมจึงคิดว่าถ้าใครอยากมั่งคั่ง ก็ควรทำสมุดบันทึกทางการเงินอย่างน้อย 1 เล่ม คือ สมุดงบดุลการเงิน เพื่อให้คุณทราบสถานะทางการเงินของคุณตลอดเวลา แต่ถ้าคุณคิดว่ายังไม่พอ ยังไหว เอาเลยครับสมุดบัญชีกระแสเงินสด หรือ สมุดบัญชีครัวเรือน ร่วมด้วย สำหรับผม อย่างเดียวพอแล้ว ประโยชน์ของสมุดบันทึกดังกล่าว จะช่วยให้คุณเข้าใจความเป็นไปเรื่องเงินของคุณ, ช่วยทำให้คุณบังคับตนเองให้ใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล และช่วยบังคับคุณให้พยายามหารายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดจะช่วยส่งเสริมให้คุณมีหนี้สินน้อยลง หรือ ทำให้คุณมีเงินเก็บสะสม/ทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จ จะลงทุนอะไรก็คิดให้ดี อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ อย่าทำอะไรง่ายๆ อย่าไว้ใจใคร อะไรง่ายๆ แล้วดีไม่มีหรอก ของฟรีไม่มีในโลก โชคดีครับ Reply ภาษีเงินได้ในเคสตัวอย่างทำไมมันดูน้อยจังเลยครับ (1.3% ของรายได้) หากเราใช้ opption ลดเต็มที่ มีสิทธิลดได้ถึงขนาดนี้ได้จริง หรือ นี่คือโจทย์ตุ๊กตาครับ 🙂 Reply หากใช้สิทธิ์เต็มที่จริงๆ อัตรา 1.3% (หรือต่ำกว่านี้) ก็เป็นไปได้ครับ อย่างในโจทย์ข้อนี้ หากมีลดหย่อนพ่อแม่ และ/หรือ มีลดหย่อนกรณีบ้านหลังแรก (มีสิทธิ์ประโยชน์นี้พอดีในช่วงที่ทำเนื้อหา) การเสียภาษีทั้งปีแค่ 10,000 ก็เป็นไปได้ครับ Reply Leave a Reply to ชูเจตต์ Cancel reply Please enter your comment! Please enter your name here You have entered an incorrect email address! Please enter your email address here
ขอเพิ่มเติมจากประสบการณ์นะครับ เผื่อจะได้แง่คิด ประเทศไทยมีคณะวิจัยสังคมคณะหนึ่ง ได้ทำการวิจัยถึงสาเหตุของความยากจนของชาวบ้านแห่งหนึ่ง จ.แม่ฮ่องสอน ผลการวิจัยสรุปว่า สาเหตุที่ทำให้ชาวบ้านยากจน เกิดจากคำว่า “ เครดิต “ ความหมายของคำว่า เครดิต อาจหมายถึง การไปเอาทรัพย์สินหรือสิ่งของหรือบริการของผู้อื่นมาใช้ก่อน แล้วสัญญาว่าจะชำระหนี้ให้ในภายหลัง เช่น เงินกู้สหกรณ์, เงินกู้ธนาคาร, เงินกู้อื่นๆ ทั้งในระบบและนอกระบบ, ซื้อสินค้าหรือบริการด้วยเงินผ่อน/เงินกู้ยืม/บัตรเครดิต ชาวบ้านแห่งนั้น ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม มีความอยากได้/อยากมีเช่นเดียวกับคนในสังคมเมือง พวกเขาอยากมีทั้งรถยนต์, จักรยาน, จักรยานยนต์, หม้อหุงข้าวไฟฟ้า, พัดลม, ตู้เย็น, โทรทัศน์, เสื้อผ้า, รองเท้า, เครื่องสำอางค์, เครื่องจักรกลการเกษตร ฯลฯ วันใดขายผลผลิตได้เงินก็จะนำเงินไปซื้อหาสิ่งของมาใช้สอย แต่การทำเกษตรไม่ได้มีรายได้ทุกวัน นานๆ จึงจะมีรายได้สักครั้ง พ่อค้าแม่ค้าอยากได้เงินจากชาวบ้านแต่ชาวบ้านยังไม่มีเงินจ่าย จึงเกิดการให้ซื้อสินค้าด้วยเงินผ่อนขึ้น ส่วนชาวบ้านก็คิดว่าตนน่าจะผ่อนชำระได้ โดยคาดการณ์ว่าผลผลิตที่จะเกิดจากการทำเกษตรน่าจะได้ปริมาณเท่าใด จะขายได้เงินเท่าใด จะผ่อนชำระเท่าใด อย่างไร? แต่คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต อาจจะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น ฝนตกน้อย, น้ำท่วม, ราคาพืชผลตกต่ำ, โรคและแมลงรบกวน, ผลผลิตต่ำ เป็นต้น รายได้จึงไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เมื่อไม่มีเงินจ่ายพ่อค้า จะทำอย่างไรดี ครั้นจะไม่จ่ายให้ เดี๋ยวจะกลายเป็นคนโกงคนไม่ดีของสังคมไป จะถูกนินทาให้ร้ายอับอายคนอื่นได้ บังเอิญในหมู่บ้านแห่งนั้นมีการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ประจำหมู่บ้านเกิดขึ้น เหมือนมีฟ้ามาโปรดจริงๆ ชาวบ้านจึงไปกู้เงินสหกรณ์มาชำระหนี้แก่พ่อค้า เงินที่จะชำระหนี้แก่พ่อค้ายังไม่มีเลย แต่กลับไปกู้เงินสหกรณ์ออมทรัพย์มาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแทน สมมติว่าเป็นหนี้พ่อค้า 10,000 บาท จึงขอกู้เงินสหกรณ์ออมทรัพย์อย่างต่ำ 10,000 บาทมาชำระหนี้ เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้คืนแก่สหกรณ์ออมทรัพย์ เงินกู้จากสหกรณ์ออมทรัพย์ไม่ได้มีแต่เงินต้นที่กู้ไปเท่านั้น ยังมีภาระดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายด้วย เมื่อเวลาผ่านไปจากที่เป็นหนี้เงินกู้ 10,000 บาท เมื่อรวมดอกเบี้ยด้วย เงินที่เป็นหนี้ก็จะสูงขึ้น สมมติว่าดอกเบี้ย 1,000 บาท จึงรวมเป็นหนี้ทั้งหมด 11,000 บาท เงินเป็นหนี้ 10,000 บาทยังไม่มีจ่าย แต่กลับมีหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 11,000 บาท แล้วจะทำอย่างไร ? ชาวบ้านจำเป็นต้องหาทางแก้ไขอื่นอีก มีที่ไหนบ้างที่จะมีเงินให้กู้ยืมเพื่อนำเงินมาแก้ไขปัญหาอีก แล้วชาวบ้านก็พบแหล่งเงินกู้แห่งใหม่ มีทั้งธนาคารเพื่อการเกษตรและแหล่งกู้เงินอื่นๆ ทั้งแหล่งเงินกู้ในระบบ/นอกระบบ ชาวบ้านจึงไปขอกู้ยืมเงินเพื่อนำมาชำระหนี้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์ จำนวนเงินที่กู้ใหม่ก็ต้องมีจำนวนที่มากกว่าที่เคยกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ เพราะเงินที่จะต้องชำระหนี้ให้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์ คือ เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย สมมติเงินต้น 10,000 บาท ดอกเบี้ย 1,000 บาท ชาวบ้านจึงต้องกู้ให้ได้เงินรวมกันอย่างน้อยที่สุด 11,000 บาท แต่หลายคนไม่เป็นอย่างนั้น ขอกู้ยืมจำนวนมากๆ เข้าไว้ก่อน เช่น 15,000 บาท เพื่อจะได้นำเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่นอีก ครั้นถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ให้แก่ธนาคารและแหล่งเงินกู้อื่นๆ ชาวบ้านก็ไม่มีเงินชำระหนี้อีกจะทำอย่างไรดี เผอิญได้ชำระหนี้แก่สหกรณ์หมดไปแล้ว พวกเขาจึงกลายเป็นลูกหนี้ชั้นดีของสหกรณ์ เพราะมีประวัติการชำระหนี้ดี, ไม่เบี้ยวหนี้, ชำระหนี้ตามกำหนด สหกรณ์จึงให้เครดิตเพิ่มขึ้นอีกโดยให้กู้เงินใหม่ได้ในจำนวนที่มากกว่าเดิม ชาวบ้านจึงกู้เงินใหม่ในจำนวนเงินที่มากกว่าครั้งก่อน แล้วนำเงินไปชำระหนี้แก่ธนาคารและแหล่งเงินกู้ต่าง ๆ การกู้หนี้ใหม่จำนวนเพิ่มมากขึ้น แล้วนำไปชำระหนี้เก่า หมุนวนเวียนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จำนวนเงินที่เป็นหนี้ จึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดเกินกำลังที่จะชำระหนี้ได้ ทำให้เกิดความทุกข์ เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย ในการทำวิจัยครั้งนั้น คณะผู้วิจัยได้ทำการทดลองแก้ปัญหาให้กับชาวบ้าน โดยการใช้สมุดบัญชีครัวเรือนแก้ไขปัญหา(หรือก็คือ บัญชีกระแสเงินสดนั่นแหล่ะ) โดยการให้ชาวบ้านจดบันทึกรายได้–รายจ่ายต่างๆ ของครอบครัวในแต่ละวัน เมื่อครบ 1 เดือนก็ให้สรุปรวมรายได้–รายจ่าย แยกเป็นหมวดหมู่รายการต่างๆ แล้วแจ้งให้สมาชิกในครอบครัวทุกคนทราบว่า ครอบครัวมีรายได้อย่างไร จำนวนเท่าใด และมีค่าใช้จ่ายอย่างไร จำนวนเท่าใด ให้ทุกคนได้ทราบ และทำการวิเคราะห์สถานะทางการเงินของครอบครัวว่า มีปัญหาหรือไม่? อย่างไร? มีค่าใช้จ่ายรายการใดบ้างที่สมาชิกคิดว่ามีจำนวนมากเกินความจำเป็น สมาชิกในครอบครัวร่วมกันพิจารณาวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางแก้ไข โดยการหาหนทางเพิ่มรายได้ ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกินความจำเป็น สมาชิกในครอบครัวก็จะขอร้องให้คนที่ใช้จ่ายมาก ลดการใช้จ่ายลง โดยมีเจ้าหน้าที่ของคณะวิจัย คอยเป็นพี่เลี้ยงช่วยตรวจสอบสมุดบัญชีครัวเรือน ช่วยวิเคราะห์ปัญหาและให้คำปรึกษาแนะนำแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติม ผลการทดลองแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านได้ผลดีระดับหนึ่ง รัฐบาลจึงนำบัญชีครัวเรือนดังกล่าวออกมาเผยแพร่ ให้ประชาชนทั่วไปนำไปใช้แก้ไขปัญหาความยากจน แต่ผมคิดว่าการแก้ปัญหายังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะคำว่า “เครดิต” ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหา ยังไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงและยังไม่ได้รับการแก้ไข งานวิจัยข้างต้น มีประโยชน์มาก ฉะนั้นถ้าคุณอยากให้ฐานะการเงินของคุณดีขึ้น คุณควรหลีกเลี่ยงคำว่า ”เครดิต” และควรจัดทำสมุดบันทึกทางการเงิน แต่ปัญหามีดังนี้ เมื่อรัฐนำสมุดบัญชีครัวเรือนมาเผยแพร่ หน่วยงานผมก็ทำเลย คือ ไปขอสมุดบัญชีครัวเรือนมาให้ลูกน้องทำ ผลปรากฏล้มเหลว สมุดถูกโยนทิ้ง ไม่แค่นั้นเพื่อนผมเห็นว่าดีก็จัดทำโครงการอบรมเลยโดยใช้สมุดบัญชีครัวเรือนและก็ล้มเหลวเช่นกัน ผมต้องเก็บไปคิดว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แล้วก็ถึงบางอ้อ ! คนไทยขี้เกียจครับ เพราะสมุดบัญชีครัวเรือนหรือบัญชีกระแสเงินสดนั้น ผู้ทำต้องจดจำรายรับ-รายจ่ายทุกอย่าง ซึ่งเป็นอะไรที่ยุ่งยากมาก โครงการนี้จึงไม่ค่อยได้ผล ผมค้นพบว่ายังมีอะไรที่ง่ายกว่านั้น นั่นคือ สมุดงบดุลการเงินนั่นเอง โดยทำในคอมฯ จะได้ไม่เปลืองกระดาษ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สิน/หนี้สิน ผมจะบันทึกการเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง แล้วนำมาเปรียบเทียบฐานะความมั่งคั่งเป็นระยะ ทั้งรายเดือน-รายปี และ …………. ทำง่ายครับ และพบว่าทรัพย์สินความมั่งคั่งของผมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมจึงคิดว่าถ้าใครอยากมั่งคั่ง ก็ควรทำสมุดบันทึกทางการเงินอย่างน้อย 1 เล่ม คือ สมุดงบดุลการเงิน เพื่อให้คุณทราบสถานะทางการเงินของคุณตลอดเวลา แต่ถ้าคุณคิดว่ายังไม่พอ ยังไหว เอาเลยครับสมุดบัญชีกระแสเงินสด หรือ สมุดบัญชีครัวเรือน ร่วมด้วย สำหรับผม อย่างเดียวพอแล้ว ประโยชน์ของสมุดบันทึกดังกล่าว จะช่วยให้คุณเข้าใจความเป็นไปเรื่องเงินของคุณ, ช่วยทำให้คุณบังคับตนเองให้ใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล และช่วยบังคับคุณให้พยายามหารายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดจะช่วยส่งเสริมให้คุณมีหนี้สินน้อยลง หรือ ทำให้คุณมีเงินเก็บสะสม/ทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จ จะลงทุนอะไรก็คิดให้ดี อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ อย่าทำอะไรง่ายๆ อย่าไว้ใจใคร อะไรง่ายๆ แล้วดีไม่มีหรอก ของฟรีไม่มีในโลก โชคดีครับ Reply
ภาษีเงินได้ในเคสตัวอย่างทำไมมันดูน้อยจังเลยครับ (1.3% ของรายได้) หากเราใช้ opption ลดเต็มที่ มีสิทธิลดได้ถึงขนาดนี้ได้จริง หรือ นี่คือโจทย์ตุ๊กตาครับ 🙂 Reply
หากใช้สิทธิ์เต็มที่จริงๆ อัตรา 1.3% (หรือต่ำกว่านี้) ก็เป็นไปได้ครับ อย่างในโจทย์ข้อนี้ หากมีลดหย่อนพ่อแม่ และ/หรือ มีลดหย่อนกรณีบ้านหลังแรก (มีสิทธิ์ประโยชน์นี้พอดีในช่วงที่ทำเนื้อหา) การเสียภาษีทั้งปีแค่ 10,000 ก็เป็นไปได้ครับ Reply
ขอเพิ่มเติมจากประสบการณ์นะครับ เผื่อจะได้แง่คิด
ประเทศไทยมีคณะวิจัยสังคมคณะหนึ่ง ได้ทำการวิจัยถึงสาเหตุของความยากจนของชาวบ้านแห่งหนึ่ง จ.แม่ฮ่องสอน
ผลการวิจัยสรุปว่า สาเหตุที่ทำให้ชาวบ้านยากจน เกิดจากคำว่า “ เครดิต “
ความหมายของคำว่า เครดิต อาจหมายถึง การไปเอาทรัพย์สินหรือสิ่งของหรือบริการของผู้อื่นมาใช้ก่อน แล้วสัญญาว่าจะชำระหนี้ให้ในภายหลัง เช่น เงินกู้สหกรณ์, เงินกู้ธนาคาร, เงินกู้อื่นๆ ทั้งในระบบและนอกระบบ, ซื้อสินค้าหรือบริการด้วยเงินผ่อน/เงินกู้ยืม/บัตรเครดิต
ชาวบ้านแห่งนั้น ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม มีความอยากได้/อยากมีเช่นเดียวกับคนในสังคมเมือง พวกเขาอยากมีทั้งรถยนต์, จักรยาน, จักรยานยนต์, หม้อหุงข้าวไฟฟ้า, พัดลม, ตู้เย็น, โทรทัศน์, เสื้อผ้า, รองเท้า, เครื่องสำอางค์, เครื่องจักรกลการเกษตร ฯลฯ
วันใดขายผลผลิตได้เงินก็จะนำเงินไปซื้อหาสิ่งของมาใช้สอย แต่การทำเกษตรไม่ได้มีรายได้ทุกวัน นานๆ จึงจะมีรายได้สักครั้ง พ่อค้าแม่ค้าอยากได้เงินจากชาวบ้านแต่ชาวบ้านยังไม่มีเงินจ่าย จึงเกิดการให้ซื้อสินค้าด้วยเงินผ่อนขึ้น ส่วนชาวบ้านก็คิดว่าตนน่าจะผ่อนชำระได้ โดยคาดการณ์ว่าผลผลิตที่จะเกิดจากการทำเกษตรน่าจะได้ปริมาณเท่าใด จะขายได้เงินเท่าใด จะผ่อนชำระเท่าใด อย่างไร?
แต่คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต อาจจะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น ฝนตกน้อย, น้ำท่วม, ราคาพืชผลตกต่ำ, โรคและแมลงรบกวน, ผลผลิตต่ำ เป็นต้น รายได้จึงไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เมื่อไม่มีเงินจ่ายพ่อค้า จะทำอย่างไรดี ครั้นจะไม่จ่ายให้ เดี๋ยวจะกลายเป็นคนโกงคนไม่ดีของสังคมไป จะถูกนินทาให้ร้ายอับอายคนอื่นได้
บังเอิญในหมู่บ้านแห่งนั้นมีการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ประจำหมู่บ้านเกิดขึ้น เหมือนมีฟ้ามาโปรดจริงๆ ชาวบ้านจึงไปกู้เงินสหกรณ์มาชำระหนี้แก่พ่อค้า
เงินที่จะชำระหนี้แก่พ่อค้ายังไม่มีเลย แต่กลับไปกู้เงินสหกรณ์ออมทรัพย์มาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแทน สมมติว่าเป็นหนี้พ่อค้า 10,000 บาท จึงขอกู้เงินสหกรณ์ออมทรัพย์อย่างต่ำ 10,000 บาทมาชำระหนี้ เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้คืนแก่สหกรณ์ออมทรัพย์ เงินกู้จากสหกรณ์ออมทรัพย์ไม่ได้มีแต่เงินต้นที่กู้ไปเท่านั้น ยังมีภาระดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายด้วย เมื่อเวลาผ่านไปจากที่เป็นหนี้เงินกู้ 10,000 บาท เมื่อรวมดอกเบี้ยด้วย เงินที่เป็นหนี้ก็จะสูงขึ้น สมมติว่าดอกเบี้ย 1,000 บาท จึงรวมเป็นหนี้ทั้งหมด 11,000 บาท
เงินเป็นหนี้ 10,000 บาทยังไม่มีจ่าย แต่กลับมีหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 11,000 บาท แล้วจะทำอย่างไร ?
ชาวบ้านจำเป็นต้องหาทางแก้ไขอื่นอีก มีที่ไหนบ้างที่จะมีเงินให้กู้ยืมเพื่อนำเงินมาแก้ไขปัญหาอีก แล้วชาวบ้านก็พบแหล่งเงินกู้แห่งใหม่ มีทั้งธนาคารเพื่อการเกษตรและแหล่งกู้เงินอื่นๆ ทั้งแหล่งเงินกู้ในระบบ/นอกระบบ ชาวบ้านจึงไปขอกู้ยืมเงินเพื่อนำมาชำระหนี้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์ จำนวนเงินที่กู้ใหม่ก็ต้องมีจำนวนที่มากกว่าที่เคยกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ เพราะเงินที่จะต้องชำระหนี้ให้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์ คือ เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย สมมติเงินต้น 10,000 บาท ดอกเบี้ย 1,000 บาท ชาวบ้านจึงต้องกู้ให้ได้เงินรวมกันอย่างน้อยที่สุด 11,000 บาท
แต่หลายคนไม่เป็นอย่างนั้น ขอกู้ยืมจำนวนมากๆ เข้าไว้ก่อน เช่น 15,000 บาท เพื่อจะได้นำเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่นอีก
ครั้นถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ให้แก่ธนาคารและแหล่งเงินกู้อื่นๆ ชาวบ้านก็ไม่มีเงินชำระหนี้อีกจะทำอย่างไรดี
เผอิญได้ชำระหนี้แก่สหกรณ์หมดไปแล้ว พวกเขาจึงกลายเป็นลูกหนี้ชั้นดีของสหกรณ์ เพราะมีประวัติการชำระหนี้ดี, ไม่เบี้ยวหนี้, ชำระหนี้ตามกำหนด สหกรณ์จึงให้เครดิตเพิ่มขึ้นอีกโดยให้กู้เงินใหม่ได้ในจำนวนที่มากกว่าเดิม ชาวบ้านจึงกู้เงินใหม่ในจำนวนเงินที่มากกว่าครั้งก่อน แล้วนำเงินไปชำระหนี้แก่ธนาคารและแหล่งเงินกู้ต่าง ๆ
การกู้หนี้ใหม่จำนวนเพิ่มมากขึ้น แล้วนำไปชำระหนี้เก่า หมุนวนเวียนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จำนวนเงินที่เป็นหนี้ จึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดเกินกำลังที่จะชำระหนี้ได้ ทำให้เกิดความทุกข์ เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย
ในการทำวิจัยครั้งนั้น คณะผู้วิจัยได้ทำการทดลองแก้ปัญหาให้กับชาวบ้าน โดยการใช้สมุดบัญชีครัวเรือนแก้ไขปัญหา(หรือก็คือ บัญชีกระแสเงินสดนั่นแหล่ะ) โดยการให้ชาวบ้านจดบันทึกรายได้–รายจ่ายต่างๆ ของครอบครัวในแต่ละวัน เมื่อครบ 1 เดือนก็ให้สรุปรวมรายได้–รายจ่าย แยกเป็นหมวดหมู่รายการต่างๆ แล้วแจ้งให้สมาชิกในครอบครัวทุกคนทราบว่า ครอบครัวมีรายได้อย่างไร จำนวนเท่าใด และมีค่าใช้จ่ายอย่างไร จำนวนเท่าใด ให้ทุกคนได้ทราบ และทำการวิเคราะห์สถานะทางการเงินของครอบครัวว่า มีปัญหาหรือไม่? อย่างไร? มีค่าใช้จ่ายรายการใดบ้างที่สมาชิกคิดว่ามีจำนวนมากเกินความจำเป็น สมาชิกในครอบครัวร่วมกันพิจารณาวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางแก้ไข โดยการหาหนทางเพิ่มรายได้ ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกินความจำเป็น สมาชิกในครอบครัวก็จะขอร้องให้คนที่ใช้จ่ายมาก ลดการใช้จ่ายลง โดยมีเจ้าหน้าที่ของคณะวิจัย คอยเป็นพี่เลี้ยงช่วยตรวจสอบสมุดบัญชีครัวเรือน ช่วยวิเคราะห์ปัญหาและให้คำปรึกษาแนะนำแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติม
ผลการทดลองแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านได้ผลดีระดับหนึ่ง รัฐบาลจึงนำบัญชีครัวเรือนดังกล่าวออกมาเผยแพร่ ให้ประชาชนทั่วไปนำไปใช้แก้ไขปัญหาความยากจน แต่ผมคิดว่าการแก้ปัญหายังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะคำว่า “เครดิต” ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหา ยังไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงและยังไม่ได้รับการแก้ไข
งานวิจัยข้างต้น มีประโยชน์มาก ฉะนั้นถ้าคุณอยากให้ฐานะการเงินของคุณดีขึ้น คุณควรหลีกเลี่ยงคำว่า ”เครดิต” และควรจัดทำสมุดบันทึกทางการเงิน
แต่ปัญหามีดังนี้ เมื่อรัฐนำสมุดบัญชีครัวเรือนมาเผยแพร่ หน่วยงานผมก็ทำเลย คือ ไปขอสมุดบัญชีครัวเรือนมาให้ลูกน้องทำ ผลปรากฏล้มเหลว สมุดถูกโยนทิ้ง ไม่แค่นั้นเพื่อนผมเห็นว่าดีก็จัดทำโครงการอบรมเลยโดยใช้สมุดบัญชีครัวเรือนและก็ล้มเหลวเช่นกัน ผมต้องเก็บไปคิดว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แล้วก็ถึงบางอ้อ ! คนไทยขี้เกียจครับ เพราะสมุดบัญชีครัวเรือนหรือบัญชีกระแสเงินสดนั้น ผู้ทำต้องจดจำรายรับ-รายจ่ายทุกอย่าง ซึ่งเป็นอะไรที่ยุ่งยากมาก โครงการนี้จึงไม่ค่อยได้ผล
ผมค้นพบว่ายังมีอะไรที่ง่ายกว่านั้น นั่นคือ สมุดงบดุลการเงินนั่นเอง โดยทำในคอมฯ จะได้ไม่เปลืองกระดาษ
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สิน/หนี้สิน ผมจะบันทึกการเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง แล้วนำมาเปรียบเทียบฐานะความมั่งคั่งเป็นระยะ ทั้งรายเดือน-รายปี และ ………….
ทำง่ายครับ และพบว่าทรัพย์สินความมั่งคั่งของผมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผมจึงคิดว่าถ้าใครอยากมั่งคั่ง ก็ควรทำสมุดบันทึกทางการเงินอย่างน้อย 1 เล่ม คือ สมุดงบดุลการเงิน เพื่อให้คุณทราบสถานะทางการเงินของคุณตลอดเวลา
แต่ถ้าคุณคิดว่ายังไม่พอ ยังไหว เอาเลยครับสมุดบัญชีกระแสเงินสด หรือ สมุดบัญชีครัวเรือน ร่วมด้วย
สำหรับผม อย่างเดียวพอแล้ว
ประโยชน์ของสมุดบันทึกดังกล่าว จะช่วยให้คุณเข้าใจความเป็นไปเรื่องเงินของคุณ, ช่วยทำให้คุณบังคับตนเองให้ใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล และช่วยบังคับคุณให้พยายามหารายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดจะช่วยส่งเสริมให้คุณมีหนี้สินน้อยลง หรือ ทำให้คุณมีเงินเก็บสะสม/ทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จ
จะลงทุนอะไรก็คิดให้ดี อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ อย่าทำอะไรง่ายๆ อย่าไว้ใจใคร อะไรง่ายๆ แล้วดีไม่มีหรอก
ของฟรีไม่มีในโลก
โชคดีครับ
ภาษีเงินได้ในเคสตัวอย่างทำไมมันดูน้อยจังเลยครับ (1.3% ของรายได้) หากเราใช้ opption ลดเต็มที่ มีสิทธิลดได้ถึงขนาดนี้ได้จริง หรือ นี่คือโจทย์ตุ๊กตาครับ 🙂
หากใช้สิทธิ์เต็มที่จริงๆ อัตรา 1.3% (หรือต่ำกว่านี้) ก็เป็นไปได้ครับ
อย่างในโจทย์ข้อนี้ หากมีลดหย่อนพ่อแม่ และ/หรือ
มีลดหย่อนกรณีบ้านหลังแรก (มีสิทธิ์ประโยชน์นี้พอดีในช่วงที่ทำเนื้อหา)
การเสียภาษีทั้งปีแค่ 10,000 ก็เป็นไปได้ครับ