[separator headline=”h3″ title=”A Better Me Diary”]

โดยปกติทุกๆ สัปดาห์นั้น ผมจะหาโอกาสไปทำบุญ หรือ ทำสิ่งดีๆ อย่างน้อยก็ 1 วัน
สาเหตุก็เพราะต้องการปลูกฝัง “อุปนิสัย” ดีๆ ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ที่มีอยู่แล้วก็ไม่อยากให้มันเสื่อมถอยไป
เป็นการสร้าง “ธรรมชาติของใจ” ที่พร้อมจะให้ พร้อมจะแบ่งปัน ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว
ซึ่งการจะสร้างอุปนิสัยแบบนี้ได้ มันก็ต้องทำเป็นประจำ และทำไปด้วยปัญญา คือมีการคิดไตร่ตรองอย่างดี

เช้านี้ (28 ก.ย. 57) ก็ได้ไปทำบุญที่ ทำได้ง่าย ไม่ต้องใช้เงินมาก และไม่ใช้เวลามากด้วย
จึงขอถือโอกาสบันทึกเป็น A Better Me Diary มาแบ่งปันให้ทุกท่านได้ร่วมอนุโมทนา
รวมทั้งอาจเป็นแนวทางให้ท่านที่อยากจะทำอะไรดีๆ แต่ยังนึกไม่ออก ได้อ่านเป็นไอเดีย เผื่อจะทำตามครับ

เช้านี้ผมไม่ได้ทำอะไรพิสดาร… ก็เพียงไป “ถวายสังฆทาน” ที่ “วัดใกล้บ้าน” มา
ที่ผมเน้นคำสองคำข้างต้น นั้นก็เพราะอยากขยายความดังนี้ครับ

[separator headline=”h3″ title=”ทำไมต้องสังฆทาน ?”]

สังฆทาน คือ ทาน หรือ การให้ ที่เราให้กับพระสงฆ์ โดยที่ไม่ได้เจาะจงว่าพระสงฆ์ผู้รับจะเป็นใคร
ซึ่งมีข้อดีหลายอย่าง ที่หากพิจารณาให้ถูกทาง ก็จะพบว่าเป็น “ยอดแห่งบุญ” นั่นเพราะ

1. พระสงฆ์ เป็นบุคคลที่สามารถทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้มาก

โดยเฉพาะการให้สติ ให้ปัญญา การสอนให้เห็นทางบรรเทาทุกข์ จนถึงขั้นพ้นทุกข์ได้
การที่เราได้บำรุงรักษาท่าน ด้วยของต่างๆ ที่เราถวาย ก็เพื่อให้ท่านสามารถอยู่ในสมณะเพศได้อย่างยั่งยืน
ส่วนวัดบางแห่งที่ได้รับของถวายจำนวนมาก ท่านก็มักมีการจัดสรรของเหล่านั้น ไปยังวัดอื่นๆ ที่มีความขาดแคลน
หรือไม่ก็สงเคราะห์ให้กับองค์กร และ ชุมชนได้ใช้ประโยชน์จากของที่เราถวายนั้นด้วย

2. การที่ไม่เจาะจงว่าผู้รับต้องเป็นใคร ทำให้เราได้ฝึกความเป็นผู้มีใจกว้าง และการให้โดยไม่หวังผล

เพราะหากเริ่มมีการเจาะจง มันก็จะมีความหวังผลอยู่ลึกๆ
เช่น ถ้าได้ถวายกับพระองค์นี้คงจะได้บุญเยอะ… หรือถ้าถวายกับพระหนุ่มๆ แบบนี้ บุญคงน้อย
ซึ่งไม่เป็นการดีเลย เพราะทำให้ใจเราหม่นหมอง เต็มไปด้วยความคาดหวัง… คาดคั้น

แต่เพราะสังฆทานที่ถูกต้องนั้น ของที่พระท่านได้รับก็จะตกเป็นของสงฆ์ส่วนรวมในวัดนั้น
นั่นคือพระรูปไหนท่านจะมาใช้ประโยชน์ก็ย่อมได้ (ภายใต้ข้อตกลงที่แต่ละวัดกำหนดไว้ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย)
ถ้าเรารู้แบบนี้ แล้วตั้งจิตใจให้ถูกต้อง ตอนถวายสังฆทานทุกครั้ง เราก็จะพึงระลึกได้ว่า…

เรากำลังถวายสังฆทานนี้เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาโดยรวมอยู่… ไม่ได้เป็นการเจาะจงจะให้ใครเลย

ผมฝึกพิจารณาแบบนี้เป็นประจำ ก็รู้สึกว่าใจเรากว้างขึ้นเยอะ
พลอยให้เราเกิดนิสัยดีๆ ที่พร้อมจะแบ่งปันหรือทำสิ่งดีๆ ให้กับผู้อื่นอย่างไม่เลือกหน้า ไม่เลือกผู้รับไปด้วย

3. สามารถ “ใส่ใจ” คัดสรรสิ่งของที่หลากหลาย เพื่อเป็นสังฆทาน ทำให้เกิดความสุขได้ตั้งแต่ที่เลือกของถวาย

สังฆทาน ไม่ใช่ถังสีเหลือง… ถังสีเหลืองที่ใส่ของไว้ข้างใน เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งที่คนนิยมถวายกัน
โดยเน้นไปที่ “ความง่าย” และ “ความสำเร็จรูป” เท่านั้น…
หลายท่านก็คงพอจะทราบว่า หลายๆ อย่างในถังนั้น ก็มีคุณภาพต่ำ ถังบางถังก็บางกรอบจนแทบใช้งานไม่ได้
ดังนั้น ถ้าเลือกได้ ผมจึงไม่เคยเลือกซื้อถังเหลือง หรือของที่จัดเป็นเซ็ทไว้ถวายพระเลย

จริงๆ แล้ว สังฆทาน สามารถที่จะเป็นสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ อะไรก็ได้
ที่พระท่านสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ผิดศีลธรรม…

ตรงนี้ล่ะครับที่ทำให้ผมตื่นเต้นที่สุดเวลาได้ทำ

เพราะมันจะเป็นเวลาที่เราจะได้ใช้สติใช้ปัญญา ในการไตร่ตรองว่าเราจะถวายอะไรดี
หลายๆ อย่างก็เกิดจากการสังเกต ว่าพระท่านต้องใช้อะไรบ้าง (ถ้าเคยบวชมาก่อน ก็จะพอเข้าใจมากขึ้น)
หรือถ้ามีโอกาสสอบถามที่วัดว่าขาดแคลนอะไรก็ยิ่งดี เพราะเราจะได้สามารถเลือกสรรสิ่งที่ท่านจะนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

ตัวอย่างชุดสังฆทานที่จัดเองได้ง่ายๆ

อย่างวันนี้ผมก็จัดชุดสังฆทานเป็น

  • แปรงสีฟัน + ยาสีฟัน + น้ำยาล้างจาน เพราะยังไงท่านก็ต้องใช้ และเป็นของที่ใช้แล้วหมดไป
  • กระดาษทิชชู่ เพราะผมเองยังใช้เปลืองมาก เลือกเป็นแพ็คเล็กๆ เผื่อท่านได้ใช้ส่วนตัวในกุฏิของท่าน
  • ยาหม่อง เผื่อว่าท่านโดนแมลงสัตว์กัดต่อย
  • ยาอมแก้เจ็บคอ เพราะท่านอาจจะต้องเทศน์สอนผู้คน หรือต้องสวดมนต์มากแล้วเจ็บคอได้
  • น้ำขิง เป็นน้ำปานะ ท่านสามารถฉันหรือดื่มได้หลังเที่ยงวันไปแล้ว
  • หนังสือธรรมมะ เผื่อให้ท่านได้อ่าน เป็นแนวทางให้ท่านปฏิบัติจนพ้นทุกข์ได้เอง
    และยังสามารถนำไปเป็นไอเดียเพื่อใช้สั่งสอนผู้คน หรือนำไปส่งต่อให้กับคนที่ต้องการได้ต่อไป

ลองสังเกตนะครับ ว่ามันเป็นอะไรที่ต้องใช้ความคิดมากทีเดียว… ของทุกอย่างที่เลือก มันมีเหตุผลของมัน
ซึ่งการได้ “เลือกอย่างพิถีพิถัน” นี่แหละครับ ทำให้ใจเราเป็นบุญ ตั้งแต่ยังไม่ได้ถวายของเลยทีเดียว
ลองสังเกตดูใจตัวเอง ณ ตอนนั้นๆ ได้เลยครับ

จริงๆ ก็ยังมีของอีกหลายอย่าง ที่เราอาจคาดไม่ถึง แต่ทางวัดได้ใช้
เช่น ถุงดำ กระดาษ เครื่องเขียน ชั้นวางของ แม่กุญแจ ถ่านไฟฉาย ถุงมือ ฯลฯ ไล่ไม่หมดครับ
ลองใช้ความคิดสร้างสรรดู แล้วจะพบว่า ถวายสังฆทานแต่ละครั้ง เป็นอะไรที่ต้องใส่ใจมากๆ

ซึ่งถ้าเลือกได้ ผมจะพยายามเลือกของเกรดที่ผมเองก็ใช้อยู่เป็นประจำ หรืออาจจะดีกว่าที่ตัวเองใช้ก็ได้
เพราะจะให้ทั้งที ผมก็อยากให้ท่านผู้ได้รับสามารถใช้มันได้จริงๆ ไม่ใช่ต้องทนใช้ของคุณภาพต่ำๆ
หรือต้องเอาไปทิ้ง เพราะมันใช้งานไม่ได้เลย

[separator headline=”h3″ title=”ทำไมต้องวัดใกล้บ้าน ?”]

สาเหตุหลักก็เพราะเรา จะได้ไปทำได้บ่อยๆ และไม่เสียเวลามาก
เพราะคงใช้เวลาไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง ทำให้สามารถที่จะไปทำอย่างอื่นได้อีกในวันนั้น
ซึ่งโดยมาก คนทำงานเราก็มีวันหยุดกันน้อยอยู่แล้ว
การเลือกทำอะไรง่ายๆ ก่อน ก็จะเพิ่มโอกาสให้เราได้ทำสิ่งนี้ได้อย่างต่อเนื่อง จนเป็นอุปนิสัยครับ

อย่างไรก็ตาม หากเราเห็นว่าวัดใกล้บ้านเรามีพฤติกรรมผิดๆ หรือเราอดไม่ได้ที่จะคิดไม่ดีกับวัดใกล้บ้าน
ก็คงต้องพิจารณาไปทำวัดอื่นๆ ที่เรารู้สึกสบายใจมากกว่าแทน ก็เป็นได้ครับ
ดีกว่าจะไปนั่งจับผิดท่านตลอดเวลา หรือ บ่นตั้งแต่เข้าวัด ยันออกจากวัด อย่างนี้มันทำให้ใจเสียทิ้งเฉยๆ ครับ

ส่วนตัวผมเอง ก็ไม่ได้เจาะจงวัดไหนเป็นพิเศษ เพราะก็มีวัดอยู่แถวบ้านหลายวัดเหมือนกัน
ก็เปลี่ยนไปถวายแต่ละที่บ้างเป็นครั้งคราว หรือในโอกาสพิเศษ ก็อาจจะไปไกลหน่อย
เช่น ไปถวายให้กับวัดที่เราศรัทธามากเป็นพิเศษ หรือถือโอกาสไปปฏิบัติธรรม
เช่นไปนั่งสมาธิภาวนา ใช้เวลาอยู่ที่วัดนั้นนานๆ หรือถือโอกาสไปท่องเที่ยวด้วยเลยก็มีครับ

ชื่นใจ เด็กๆ ได้มาสร้างอุปนิสัยดีๆ ตั้งแต่ยังเล็ก

[separator headline=”h3″ title=”สนใจบ้าง… ทำอย่างไร ?”]

ไม่ยากเลยครับ ลองไปที่ซุปเปอร์มาเก็ต หรือร้านค้าใกล้บ้าน
เลือกซื้อของเท่าที่เราไหว ไม่จำเป็นต้องเยอะมากก็ได้ ตั้งใจเลือกดีๆ เลือกอย่างมีเหตุผล
เสร็จแล้วก็หิ้วเป็นถุงไปที่วัดได้เลย ไม่ต้องหาถังเหลือง หรืออะไรมาใส่ก็ได้
เว้นแต่เราคิดว่า ภาชนะนั้นอยากจะถวายให้เป็นประโยชน์กับวัดด้วย ก็เอามาใส่ได้

จากนั้นเดินทางไปที่วัดใกล้บ้าน สอบถามกับคนหรือพระที่วัดว่าจะสามารถถวายสังฆทานได้ที่ไหน
โดยทั่วไป แต่ละวัดก็จะมีการจัดสถานที่ และจัดเวรให้พระสงฆ์มารอรับสังฆทานอยู่แล้ว
บางวัดก็ถวายได้แทบจะทั้งวัน บางวัดก็อาจจะถวายได้เป็นบางช่วง เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธีครับ

ไม่ต้องกลัวว่า จะไม่รู้พิธิการ จะกล่าวคำถวายไม่ถูก นะครับ
เพราะเดี๋ยวนี้ พระท่านก็จะพากล่าว หรือไม่ก็จะมีคนพากล่าวอยู่แล้ว

และอันที่จริง บุญนั้น ก็สำเร็จจากเจตนาและการกระทำของเราไปเรียบร้อย
คำถวายต่างๆ มีขึ้นเพื่อให้ใจเราน้อมไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำได้ดีขึ้นเท่านั้นเองครับ

อย่าให้พิธีกรรม มาทำให้ใจเราวุ่นวายเลยครับ

จะมีหรือไม่มีก็ไม่เป็นไร จะทำเยอะ หรือจะทำน้อย ก็อย่าเอามาเป็นเรื่องคิดให้ใจเสีย
ฝึกทำใจเบาๆ สบายๆ ตั้งแต่ก่อนถวาย ระหว่างที่ถวาย จนถึงหลังจากที่ถวายเสร็จ
ฝึกทำบ่อยๆ เราจะไม่ได้แค่การทำทาน แต่จะได้ทำบุญขั้นที่สูงกว่านั้น
นั่นคือ “การเจริญภาวนา”  คือการพัฒนาจิตใจไปด้วยในตัวครับ ^-^

3 COMMENTS

Leave a Reply to นรินทร์ Cancel reply

Please enter your comment!
Please enter your name here